อภิเดช ศิษย์หิรัญ เป็นนักมวยไทยคนเดียวที่มีลูกเตะเป็นอาวุธสำคัญสามารถชงเท้าเข้าก้านคอ
คู่ต่อสู้แล้วไล่ลงมาถึงขาพับ 3 จังหวะด้วยความรวดเร็ว จนได้รับฉายาที่คนสมุทรสงครามฟังแล้วภาคภูมิใจ
หนักหนาว่า " จอมเตะแห่งบางนกแขวก " เขามีนามจริงว่า ณรงค์ ทรงมณี เป็นบุตรของนายพยอม ญาณ
ประทีป (พ่อเลี้ยง) กับนางเสงี่ยม ทรงมณี (แม่จริง) มีอาชีพทำสวนมะพร้าว อภิเดชเกิดเมื่อวันที่ 1 กันยายน
2484 ที่ตำบลบางนกแขวก อำเภอบางคนที เหนือวัดเจริญสุขารามขึ้นไปเล็กน้อย นิสัยส่วนตัวเป็นคนสุภาพ
เรียบร้อย ขี้อาย ไม่ชอบเที่ยวเตร่เหมือนวัยรุ่นคนอื่น ชีวิตในวัยเด็กเป็นคนที่เรียนหนังสือไม่ค่อยเก่งแต่มีความ
สามารถเล่นกีฬาได้ดีแทบทุกชนิดโดยเฉพาะ ฟุตบอล ตะกร้อ กระโดดสูง ค้ำถ่อ และวิ่งจนเป็นนักกีฬาคนเก่ง
ของเรียนวัดเจริญสุขารามวรวิหาร ไปแข่งที่ไหนจะต้องคว้าชัยชนะมาอวดทางบ้าน และเพื่อนนักเรียนเสมอ
เมื่อ ศึกษาระดับประถมศึกษาขณะศึกษาระดับมัธยมศึกษาอยู่ที่โรงเรียน"เมธีชุณหะวัณวิทยาลัย" ในชั้น ม. 2
นั้นได้พบกับครูพละคนแรกของเขาคือ ครูสุพร วงศาโรจน์ ซึ่งมองเห็นหน่วยก้านเข้าทีดีจึงเริ่มสอนวิชากระบี่
กระบอง พลอง และไม้สั้นให้ ต่อมาก็สอนแม่ไม้มวยไทยให้เมื่อเห็นว่าเป็นผู้มีความสนใจขนาดชวนครูซ้อม
มวยอยู่เสมอ 3-4 เดือนต่อมา ก็ร้อนวิชาไปเปรียบมวยครั้งแรกที่อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี เป็นมวย
ประกอบรายการ และสามารถคว้าชัยชนะมาได้ หลังจากนั้นไม่ว่าจะมีงานวัด หรืองานวิก อภิเดชจะต้องพา
ตัวเองไปขึ้นเวทีด้วยทุกครั้งที่ได้ยินเสียงปี่ กลอง เสียงฉิ่ง จนวันหนึ่งที่จังหวัดราชบุรี นายเกษม เอี่ยมภิญโญ
ผู้จัดรายการมวยกรุงเทพฯมาพบเข้าชอบใจในลีลาการต่อสู้จึงชวนไปชกมวยที่กรุงเทพฯโดยใช้ชื่อว่า "อภิเดช
ลูกพรชัย " ชกทีไรคนบางนกแขวก จะต้องขนกันไปเชียร์กลุ่มใหญ่ จนได้รับชัยชนะตลอดมาเขารู้จักคำว่าแพ้
เมื่อชกกับ " โกมารเดช "โดยถูกน๊อค ในยกที่สองเพราะต่างคนต่างสับศอกเข้าใส่กันท่ามกลางเสียงเชียร์ที่ดัง
กระหึ่มทั้งสนาม ผลปรากฏว่า โกมารเดชกระเด็นตัวลอยไปติดเชือก ส่วนอภิเดชโดนเข้าแสกคาง กระเด็นหัว
น๊อคพื้น และแพ้น๊อคอีกครั้งให้สินชัย แต่สามารถล้มสินชัยได้อย่างสอนมวยในเวลาต่อมา "อภิเดช ศิษย์หิรัญ"
เป็นชื่อที่ได้รับใหม่เมื่อ ครูสุพร วงศาโรจน์ พาไปฝากเป็นศิษย์ที่ค่ายมวย "ศิษย์หิรัญ" ของครูเกษม และ คุณ
องุ่น เอี่ยมภิญโญ ระยะนั้นชื่อ "อภิเดช" เป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศไม่ว่าเมืองไทยจะมีเวทีมวยกี่เวทีเขาจะต้อง
คว้าแชมป์มาครองได้หมดเคยคาดเข็มขัดแชมป์ทีเดียวถึง 5 เส้น ครั้งนั้นไม่มีนักมวยคนใด หาญเข้าต่อกรกับเขาเลยใครชกกับอภิเดชมีหนทางเสียมวยมากกว่าจะได้ สอนมวยไม่ว่าจะเป็นนักชกฉกาจฉกรรจ์อย่าง " อดุลย์ ศรีโสธร "(แชมป์มงกุฎเพชร) , แดนชัย เพลินจิตร, จอมบุก สมพงษ์
เจริญเมือง,ราวี เดชาชัย, และเดชฤทธิ์ อิทธิอนุชิต เหล่านี้ล้วนเคยลิ้ม รสเท้าของเขามาแล้วทั้งนั้น และผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะอยู่เสมอ หลังจากนั้น อภิเดช ศิษย์หิรัญได้หันไปชกมวยสากลตามแบบอย่าง ของ เดชฤทธิ์ อิทธิอนุชิตในรุ่นเวลเตอร์เวท ชิงแชมป์มวยสากลทั้งเวทีราชดำเนิน
และลุมพินีเป็นผลสำเร็จทั้ง 2เวที และได้ขึ้นชกกับนักมวยต่างชาติ เอลิลิโอ อรันดาได้รับชัยชนะในยกแรกเป็นแชมป์ภาคตะวันออก ต่อมาได้ชกป้องกันตำแหน่งกับนักมวยชาว
ญี่ปุ่นอีก2ครั้ง มีแข็งแรงก็มีอ่อนแอมีชนะก็มีแพ้ มีรุ่งเรืองก็มีเสื่อมถอย นี่เป็นสัจธรรมของชีวิตไม่มีผู้ใดยกเว้นแม้แต่ " จอมเตะแห่งบางนกแขวก " ของคนสมุทรสงคราม และ
ของคนไทยทั้งประเทศ
เมื่อสังขารไม่ไหวในขณะที่หัวใจยังเต็มร้อย " อภิเดช ศิษย์หิรัญ " จำเป็นต้องแขวนนวมและหายไปจากวงการมวยอยู่หลายปี โดยได้ไปประกอบอาชีพค้าขายมะพร้าว กับภรรยาและลูกอีก 3 คนอยู่ที่ห้วยขวาง ปัจจุบันเขามีอายุ 64 ปีและหวนกลับมาสู่วงการมวยด้วยการเป็นเทนเนอร์ให้กับนักมวย คณะ " แฟร์เท็คซ์ "เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2548 องค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสงคราม ร่วมกับจังหวัดสมุทรสงคราม ได้จัดพิธี ได้จัดพิธีเชิดชูเกียรติ และมอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้กับ" อภิเดช ศิษย์หิรัญ" เนื่องจากเป็นบุคคลที่ทำคุณ
ประโยชน์ และสร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัด เพื่อเป็นการยกย่อง และเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเยาวชนรุ่นหลังได้ไปศึกษาเป็นแบบอย่าง เพราะ อภิเดช ศิษย์หิรัญ ได้สร้างชื่อเสียงด้านกีฬาให้กับจังหวัดสมุทรสงครามและประเทศไทยเป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติเป็นระยะเวลาถึง 11 ปี (พ.ศ. 2503-2514 ) จึงสมควรได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติอย่าง