ฉายาโกลเด้น บอย (Golden Boy)
วันเกิด4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2516สถานที่เกิดมอนเตเบลโล สหรัฐอเมริกา
รุ่นจูเนียร์ไลท์เวท, ไลท์เวท
ซูเปอร์ไลท์เวท, เวลเตอร์เวท
ซูเปอร์เวลเตอร์เวท, มิดเดิลเวท
ผู้จัดการบ๊อบ อารัม, ปัจจุบันเป็นผู้จัดการตัวเอง
เทรนเนอร์โจเอล เดอ ลา โฮยา (พ่อ)
เอ็มมานูเอล สจ๊วต
ฟลอยด์ เมเวทเธอร์ ซีเนียร์ (ปัจจุบัน)
สถิติชก42
ชนะ38
ชนะน็อก30
แพ้4
เสมอ0
ออสการ์ เดอ ลา โฮยา (Oscar De La Hoya) เกิดเมื่อวันที่
4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1971) ที่เมืองมอนเตเบลโล
มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา พื้นเพครอบครัวของเดอ ลา โฮยา เป็นชาวเม็กซิกันที่เข้ามาอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา โดยที่ผู้ชายในตระกูล ไม่ว่าจะเป็น พ่อ, ปู่, พี่ชาย ก็ล้วนแต่เป็นนักมวยมาก่อนทั้งนั้น เมื่อวัยเด็ก เดอ ลาโฮยา เป็นเด็กอ่อนแอ มักจะโดนพี่ชายและเด็กในละแวกบ้านแกล้งเสมอ ๆ
ออสการ์ เดอ ลา โฮยา มีชื่อเสียงขึ้นมาในการที่สามารถเป็นนักมวยเพียงคนเดียวในทีมชาติสหรัฐอเมริกาที่คว้าเหรียญทอง
โอลิมปิคมาได้จากการเอาชนะ มาร์โก้ รูดอร์ฟ นักมวยชาวเยอรมัน ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิค ที่เมือง
บาร์เซโลนา ประเทศสเปน เมื่อปี
พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992)
เดอ ลา โฮยา จึงได้ฉายาว่า " โกลเด้น บอย " (Golden Boy) หลังจากนั้น จึงได้เบนเข็มมาชกมวยอาชีพ เดอ ลา โฮยา มีจุดเด่นตรงที่สายตาดี มีความเร็วหมัดที่ไวมาก และประกอบด้วยเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี สามารถเรียกคนดูในกลุ่มที่ไม่ใช่แฟนมวยให้มาสนใจได้ด้วย ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้สร้างชื่อเสียงให้ เดอ ลา โฮยา ในระยะเวลาไม่นาน โดยที่ เดอ ลาโฮยา จึงความหวังไว้ว่าจะเป็นแชมป์โลก 6 รุ่น คนแรกของโลกให้ได้ เดอ ลา โฮยา ได้แชมป์ครั้งแรก โดยได้แชมป์ในรุ่นจูเนีบร์ไลท์เวท ขององค์กรมวยโลก (WBO) ในปี
พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) และเป็นแชมป์ในรุ่นไลท์เวท ของทั้งองค์กรมวยโลก (WBO) และสหพันธ์มวยนานาชาติ (IBF) ในปี
พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) จากนั้นในปี
พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) เดอ ลา โฮยา จึงมีโอกาสได้เปิดศึกกับยอดมวยในดวงใจเขา คือ " ฮูลิโอ ซีซาร์ ชาเวซ " ด้วยมีเดิมพันเป็นแชมป์โลกในรุ่นซูเปอร์ไลท์เวท สภามวยโลก (WBC) ซึ่ง เดอ ลา โฮยา สามารถเอาชนะแตกไปได้ยกที่ 4 และสามารถป้องกันตำแหน่งแชมป์ในรุ่นนี้ไว้ได้ 1 ครั้ง กับ
มิเกล แองเจิล กอนซาเลซ ก่อนที่จะขยับรุ่นขึ้นไปท้าชิงกับ เพอร์เนล วิเทเกอร์ ยอดนักมวยชาวอเมริกันอีกคน ในรุ่นเวลเตอร์เวท ในปี
พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) ซึ่ง เดอ ลา โฮยา ก็เป็นฝ่ายเอาชนะคะแนนไปได้ โดยที่ฝ่ายวิเทเกอร์ไม่ยอมรับผลในการตัดสิน
เดอ ลา โฮยา ป้องกันตำแหน่งแชมป์ในรุ่นนี้ไว้ได้ 7 ครั้ง รวมถึงการเอาชนะฮูลิโอ ซีซาร์ ชาเวซ ไปได้อีกครั้ง ก่อนที่จะเดิมพันตำแหน่งแชมป์ในรุ่นนี้กับแชมป์รุ่นเดียวกันของสหพันธ์มวยนานาชาติ (IBF) กับยอดมวยชาวเปอร์โตริโก เฟลิกซ์ ทรินิแดด ในปี
พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) ซึ่งผลการชกออกมา คือ เดอ ลาโฮยา แพ้คะแนนไปแบบไม่เป็นเอกฉันท์ และเป็นการแพ้ครั้งแรกในชีวิตการชกมวยอาชีพของ เดอ ลา โฮยา ด้วย
จากนั้น เดอ ลา โฮยา ได้อุ่นเครื่องนี้ในรุ่นนี้ต่อไปอีก 2-3 ครั้ง ก่อนที่จะเปิดศึกกับคู่ปรับเก่าที่เดอ ลา โฮยา เคยแพ้มาแล้วในแบบมวยสากลสมัครเล่น กับ ซูการ์ เชน มอสลีย์ ซึ่ง เดอ ลา โฮยา ก็แพ้คะแนนมอสลีย์ไป
ต่อมา เดอ ลา โฮยา ได้ขยับรุ่นขึ้นมาในรุ่นซูเปอร์เวลเตอร์เวท และได้แชมป์ในรุ่นนี้ โดยชนะคะแนน ฆาเวียร์ คัสติญเลโญ นักมวยชาวสเปน ก่อนที่จะพบกับคู่ปรับเก่าเชน มอสลีย์ ที่ขยับรุ่นตามขึ้นมา และมอสลีย์ก็สามารถย้ำแค้น เอาชนะคะแนนไปได้อีก จากนั้น เดอ ลา โฮยา ได้ขยับรุ่นต่อไปอีก เป็นรุ่นที่ 6 ที่ตั้งความหวังไว้ คือ มิดเดิลเวท ได้แชมป์ในรุ่นนี้ขององค์กรมวยโลก (WBO) โดยชนะคะแนนเฟลิกซ์ สตรวม นักมวยชาวเยอรมันไปแบบไม่น่าประทับใจ เพราะเดอ ลา โฮยา ช้าลงมาก อีกทั้งน้ำหนักหมัดไม่สามารถทำอะไรคู่ชกได้เลย ก่อนที่จะเปิดศึกเดิมพันตำแหน่งแชมป์รุ่นนี้กับยอดมวยของรุ่นมิดเดิลเวท ชาวอเมริกัน เบอร์นาร์ด ฮอปกิ้นส์ ซึ่ง เดอ ลา โฮยา เป็นฝ่ายแพ้น็อกไปในยกที่ 9 แบบหมดรูป
เดอ ลา โฮยา จึงลดรุ่นกลับมาชกในรุ่นเดิม และสามารถคว้าแชมป์ของ WBC (สภามวยโลก) มาได้ด้วยการเอาชนะน็อกริคาร์โด มาร์ยอก้า นักมวยชาวนิคารากัว ไปได้ในยกที่ 6 เมื่อต้นปี
พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) และยังไม่ได้ป้องกันตำแหน่งในรุ่นนี้กับใคร
ปัจจุบัน เดอ ลา โฮยา ยังไม่แขวนนวม แม้จะผ่านจุดสูงสุดของการชกมวยมาแล้ว มีกิจการจัดการชกมวยเป็นของตนเอง คือ " โกลเด้น บอย โปรโมชั่น " (Golden Boy Promotion) โดย เดอ ลา โฮยา ทำหน้าที่เป็นโปรโมเตอร์เอง
ช่วงสมัยรุ่งเรือง ออสการ์ เดอ ลา โฮยา นับได้ว่าเป็นซูเปอร์สตาร์อันดับหนึ่งของวงการมวยโลก กล้าชกกับยอดมวยโลกในรุ่นเดียวหรือใกล้เคียงกันทุกคน เป็นที่สนใจของทั้งแฟนมวยและไม่ใช่แฟนมวย ด้วยหน้าตา บุคลิกที่หล่อเหลาคล้ายดาราภาพยนตร์ ผิดกับภาพลักษณ์ของนักมวยทั่วไป จึงทำให้ ออสการ์ เดอ ลา โฮยา ได้มีโอกาสออกอัลบั้มเพลงของตัวเอง 1 อัลบั้มในชื่อเดียวกับตัว ในปี
พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) มีเพลงฮิต คือ " Run to Me " ซึ่งเป็นเพลงเก่าของ
บีจีส์มาร้องเป็นเพลงเอกในอัลบั้ม และอัลบั้มชุดนี้ยังมีชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ในปีนั้นอีกด้วย