ศอก" เป็นอาวุธหลัก หนึ่งในสี่ของมวยไทย คือ หมัด, เท้า, เข่า และศอก ใครที่สามารถใช้อาวุธเหล่านี้ได้ถูกต้องงดงามตามจังหวะ จึงเรียกกันว่า "มวยไทยครบเครื่อง"
ในยุคหลังกึ่งพุทธกาลเล็กน้อย มีนักมวยที่ใช้ศอกได้ผลชะงัดอยู่หลายคน ซึ่งก็มีฉายาแตกต่างกันไปตามลักษณะท่วงท่าของการใช้ และหนึ่งในจำนวนนั้นคือ
"พรานศอก" อันเป็นฉายาของลือชัย บางยี่ขัน หรือบุญลือ พานพิกุล หนุ่มลูกทุ่งจาก อ.หนองโดน จ.สระบุรี แต่พเนจรไปแสวงโชคถึงปักษ์ใต้ กระทั่งได้รู้จักกับ "ช้างน้ำ"กู้เกียรติ ทรงกิตรัตน์ ซึ่งไปชกมวยที่นั่น จึงฝากตัวเป็นศิษย์ติดสอยห้อยตาม เมื่อกลับเข้ากรุง "พี่ช้าง" ก็หอบหิ้วเข้ามาด้วย และได้เข้าทำงานที่โรงเหล้าบางยี่ขันก็เลยเป็นนักมวยสังกัด "บางยี่ขัน" อันมีคุณดุษดี ศรีพิสุทธิ์ เป็นหัวหน้าคณะ และประกอบ เจริญลาภ เป็นเทรนเนอร์
โดยเหตุที่มีชื่อจริงว่า "บุญลือ" และลือชัย นฤนาท พระเอกหนังไทยยุคนั้นกำลังฮ็อตสุดขีด เลยถูกตั้งชื่อว่า "ลือชัย บางยี่ขัน"
ลือชัย บางยี่ขัน เป็นมวยรุ่นใหญ่ขนาดไลต์เวทถึงเวลเตอร์เวท มีอาวุธศอกที่ตีได้ชะงัดมาก เคยตี "ไอ้ใบ้"วีระเดช ส.ลูกพิทักษ์ คู่รักคู่แค้นหัวร้างข้างแตกมาหลายหน จึงได้ฉายาว่า "พรานศอก" หมายถึงความมุ่งมั่นที่จะต้องตีศอกให้ได้ในการขึ้นเวทีทุกครั้งเหมือนนายพรานเฝ้าแสวงเหยื่อเมื่อออกตระเวนไพรฉะนั้น
"พรานศอก"ลือชัย เคยถูกจัดให้พิสูจน์กับ "ศอกขวาน"รักเกียรติ ว่าใครจะใช้ศอกได้ชะงัดกว่ากัน ผลปรากฏว่า "ศอกขวาน" เด็ดขาดกว่าเป็นฝ่ายชนะคะแนนไป
เมื่อเลิกชกมวยแล้วลือชัยยังทำงานที่โรงเหล้าบางยี่ขันต่อมาแต่ประสบมรสุมชีวิตต้องดื่มเหล้าเพื่อระงับความกลุ้มใจ ดื่มหนักเข้าก็เลยติดกลายเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง ในที่สุดเขาก็สิ้นลมหายใจอย่างโดดเดี่ยวด้วยเปลี่ยวดำจับท่ามกลางลมหนาว เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2519 ภายในโรงเหล้านั่นเอง ขณะมีอายุเพียง 38 ปีเท่านั้น
"พรานศอก"ลือชัย บางยี่ขัน แจ้งเกิดจากโรงเหล้า ในที่สุดเขาก็จบชีวิตลงเพราะเหล้า
คอลัมน์ ฉายาชาวยุทธ์
http://www.matichon.co.th/khaosod