โผน กิ่งเพชร
โผน กิ่งเพชร ชื่อจริงว่า มานะ สีดอกบวบ เกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2478 มีชื่อเล่นว่า " แกละ " เป็นบุตรคนที่ 7 ในจำนวน 9 คน ของนายห้อย และนางริ้ว สีดอกบวบ เป็นแชมป์โลกชาวไทยแรกในประวัติศาสตร์ โผนจบการศึกษาระดับมัธยมปีที่ 6 จากโรงเรียนหัวหินวิทยา ด้วยความเป็นคนรักกีฬา ชอบเล่นกีฬาทุกประเภท แต่ที่ชอบมากที่สุดคือ มวยสากล ถึงขนาดเคยลั่นวาจาต่อหน้าเพื่อน ๆ ว่า เขาจะเป็นแชมป์โลกคนแรกของไทยให้ได้ (เนื่องด้วยก่อนหน้านั้น จำเริญ ทรงกิตรัตน์ เคยชิงแชมเปี้ยนโลกมาแล้วถึง 3 ครั้ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จเลย)
โผน ฝึกและขึ้นชกมวยครั้งแรกที่หัวหินบ้านเกิด มีฝีมือดีที่เป็นที่ลือลั่น แต่ สง่า สีดอกบวบ พี่ชายคนโต ไม่เห็นชอบด้วย จึงนำโผนมาฝากไว้กับ นายห้างทองทศ อินทรทัต เจ้าของบริษัทเทวกรรม โอสถ ซึ่งเป็นเจ้าของค่าย " กิ่งเพชร " ในซอยชื่อเดียวกับค่าย ย่านถนนเพชรบุรี ซึ่งโผนได้รับการฝึกสอนและขึ้นชกสม่ำเสมออย่างจริงจัง โดยที่มาของชื่อ " โผน " นั้น เป็นชื่อของน้องชายนายห้างทองทศ ซึ่งเสียชีวิตในเหตุการณ์กบฏวังหลวง พ.ศ. 2492 ก่อนหน้านี้ (พ.ต. โผน อินทรทัต อดีตเสรีไทย, ผู้อำนวยการโรงงานยาสูบ ขณะนั้น)
การชกของโผนดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชนะน็อก กู้น้อย วิถีชัย แชมป์ฟลายเวทของเวทีราชดำเนิน ได้อย่างงดงาม ทั้ง ๆ ที่โผนมีประสบการณ์น้อยกว่าอย่างเทียบไม่ติด และต่อมาเมื่อมีการแก้มือกัน โผนก็ชนะคะแนนไปได้อีกครั้ง ต่อมา โผนได้ขึ้นชิงแชมป์ภาคตะวันออกไกล ฯ (OPBF) โดยชนะคะแนน แดนนี่ คิด เจ้าของตำแหน่งชาวฟิลิปปินส์ โผนจึงได้มีชื่อติดอันดับโลก และเป็นกรุยทางสู่การชิงแชมป์โลก
ชิงแชมป์โลก
การชิงแชมป์โลกของโผนได้กระทำต่อหน้าพระพักตร์ กับ ปาสคาล เปเรซ แชมเปี้ยนชาวอาร์เจนตินา ณ เวทีมวยลุมพินี เมื่อคืนวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2503 ซึ่งตรงกับวันเสาร์ โดยในครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรด้วย
สำหรับ ปาสคาล เปเรซ แชมเปี้ยนนั้น เคยครองเหรียญเงินโอลิมปิคมาแล้ว จากการแข่งขันมวยสากลสมัครเล่น ที่กรุงลอนดอน ใน ปี พ.ศ. 2491 (ค.ศ. 1948) และก่อนหน้าจะมาป้องกันตำแหน่งกับโผนนั้น ได้ป้องกันตำแหน่งไว้ได้แล้วถึง 10 ครั้ง ครองแชมป์อย่างต่อเนื่องยาวนานถึง 5 ปี โดยอายุของเปเรซขณะนั้นได้ 33 ปี ขณะที่โผนอายุเพียง 25 ปี ผ่านการชกมาแค่ 22 ไฟท์
เมื่อมาถึง คนไทยให้ฉายาเปเรซว่า " ยักษ์แคระ " เพราะเป็นนักมวยรูปร่างเล็ก แต่มีช่วงแขนที่ใหญ่ ดูบึกบึน ก่อนถึงวันชก มีการโปรโมตตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น แต่งเพลงเชียร์โผนเป็นทำนองเพลงมาร์ช ปลุกใจ ตามวิทยุ หรือ รถกระจายเสียง ซึ่งผู้แต่งคือ สุรพล โทณะวนิก และผู้ร้องคือ มีศักดิ์ นาครัตน์ มีเนื้อร้องบางช่วงว่า " เราเชียร์โผน...เราเชียร์โผน...เราเชียร์โผน..โผน...โผน...โผน...โผน เปเรซจะแข็งอย่างไร แต่โผนเลือดไทย....ต้องเชียร์ไว้ดีกว่า....." แต่ก็มีเด็ก ๆ ไปเเปลงเนื้อเป็น " โผน กิ่งเพชร เปเรซ กิ่งไผ่ โผน มือไวต่อยไข่ เปเรซ " ซึ่งในวันชกนั้น ไม่มีการถ่ายทอดทางโทรทัศน์ เนื่องจากประเทศไทยขณะนั้น ยังไม่มีสถานีโทรทัศน์ แต่มีการถ่ายทอดทางวิทยุกระจายเสียง และมีการบันทึกการชกเป็นหนังสารคดีฉายตามโรงภาพยนตร์ภายหลังแทน
ชกแก้มือกับ ปาสคาล เปเรซ
ชนะ ทีเคโอ ปาสคาล เปเรซ ที่ลอสแองเจลิสผลการแข่งขัน โผน ชนะคะแนนอย่างไม่เป็นเอกฉันท์ โดยกรรมการ โลเรนโซ เทอเลบ้า กรรมการห้ามบนเวทีชาวอาร์เจนตินา ชาติเดียวกับเปเรซ ให้เปเรซชนะ 145 - 143 กรรมการชาวไทย วงศ์ หิรัญยเลขา ให้โผนชนะ 148 - 137 และ แน็ต แฟลชเชอร์ กรรมการจากเดอะ ริง ให้โผนชนะ 146 - 140 ได้ครองแชมป์โลกรุ่นฟลายเวท ของสถาบันเดอะริง (The Ring) เป็นแชมป์โลกคนแรกของไทย ในส่วนของหัวหิน บ้านเกิด ภายหลังรู้ผลการชก ก็ได้มีการจุดพลุ ฉลองทั่วทั้งเมืองทันที ซึ่งต่อมาสมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทย ได้กำหนดให้ วันที่ 16 เมษายน ของทุกปี เป็น วันกีฬาแห่งชาติ (ก่อนจะเปลี่ยนเป็น 16 ธันวาคม ในปี พ.ศ. 2529
เมื่อเป็นแชมป์โลก
โผน กิ่งเพชร เป็นนักมวยรูปร่างผอมบาง มีช่วงขาที่ยาว เทรนเนอร์ คือ ครูนิยม ทองชิต ฝึกความแข็งแกร่งของขา โดยให้โผนเล่นสกีน้ำ ที่ชายหาดหัวหิน บ้านเกิด
ในการชกครั้งต่อๆมา เมื่อโผน กิ่งเพชร เสียตำแหน่งไปก็สามารถชิงกลับมาได้ถึง 3 ครั้ง โดยมีหลายไฟท์ในความทรงจำ เช่น การแก้มือกับ ปาสคาล เปเรซ ที่ลอสแองเจลิส โดยชนะทีเคโอไปอย่างหายสงสัย ชนะคะแนน " เสือหมัดซ้าย " มิตสุโนริ เซกิ ถึงกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ผลัดแพ้ - ชนะกับ มาซาฮิโกะ " ไฟติ้ง " ฮาราด้า และ ฮิโรยูกิ เอบิฮาร่า อย่างดุเดิอดถึง 2 ครั้ง เป็นต้น
บั้นปลายชีวิต
แต่ช่วงปลายชีวิตการชกมวยของโผนไม่เป็นที่ราบรื่น เพราะขัดแย้งกับเทรนเนอร์ และผู้จัดการเสมอ ๆ จนต้องมีการเปลี่ยนตัวบ่อยครั้ง ประกอบกับโผนเองก็ติดสุราอย่างหนัก จนเกือบเป็นสุราเรื้อรัง หนีซ้อม ผลการชกก็ตกลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดต้องประกาศเลิกชกมวยเมื่อ พ.ศ. 2509 เมื่ออายุได้ 31 ปี ชีวิตของโผนตกต่ำอย่างที่สุด เพราะทรัพย์สินเงินทองเมื่อครั้งได้จากการชกมวยก็ร่อยหรอ แม้แต่โรงเรียนมานะวิทยา ที่เคยสร้างไว้ที่บ้านเกิด เมื่อครั้งรุ่งเรือง ก็ต้องขายทิ้ง ประกอบอาชีพค้าขายก็ขาดทุน เพราะไม่เจนจัดเล่ห์เหลี่ยมการค้า ส่วนตัวโผนเองก็มีโรคประจำตัวเรื้อรังคือ โรคเบาหวาน
ท้ายที่สุด ขณะรับประทานอาหารกับครอบครัวที่บ้านหัวหิน อาหารเกิดสำลักเข้าไปติดอยู่ในหลอดลม ทำให้เกิดการบูดเน่าและโลหิตเป็นพิษ อาการของโผนทรุดหนัก เพราะเป็นหวัดอยู่ด้วยและเป็นโรคปอดแทรกซ้อนเข้ามา ครอบครัวต้องนำส่งโรงพยาบาลรามาธิบดีเป็นการด่วน อาการก็ไม่ดีขึ้น จนในที่สุด เวลา 5 ทุ่ม ของคืนวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2525 โผนก็จากโลกนี้ไปอย่างสงบ ด้วยวัยเพียง 47 ปี 3 เดือน 19 วัน
http://th.wikipedia.org