พุฒ ล้อเหล็ก หรือชื่อจริง
ทวี พิพัฒกุล นักมวยไทยระดับแม่เหล็กดึงดูดผู้ชม เป็นแชมป์ของ
เวทีลุมพินี และ
เวทีราชดำเนิน ฉายา
ไอ้หนูเมืองตรัง มีชื่อเสียงระหว่าง พ.ศ. 2513 - 2520 โดยชก 8
พุฒ ล้อเหล็ก หรือชื่อจริง
ทวี พิพัฒกุล นักมวยไทยระดับแม่เหล็กดึงดูดผู้ชม เป็นแชมป์ของ
เวทีลุมพินี และ
เวทีราชดำเนิน ฉายา
ไอ้หนูเมืองตรัง มีชื่อเสียงระหว่าง พ.ศ. 2513 - 2520 โดยชก 80 กว่าครั้ง โดยไม่เคยแพ้น็อคเลย พุฒ ล้อเหล็ก เกิดที่
อำเภอย่านตาขาว จังหวัดตรัง เมื่อ
พ.ศ. 2496พุฒ ล้อเหล็ก เริ่มชกมวยไทยเมื่ออายุ 15 ปี ชกชนะรวด 10 กว่านัด เมื่อ พ.ศ. 2511 ได้รับคำชื่นชมว่า เป็นนักมวยที่มีหมัดหนัก สไตล์การชกบนเวทีพลิ้วไหว ลีลาแม่ไม้มวยไทยงดงาม เคยติดอันดับ 1 ใน 10 ของการจัดอันดับยอดมวยไทยตลอดกาล ของเวทีมวยราชดำเนิน เมื่อ พ.ศ. 2527
ปัจจุบัน พุฒ ล้อเหล็ก สมรสกับนางฉลวย พิพัฒกุล เลิกชกมวยแล้ว หันไปทำ
สวนยางพารา เลี้ยง
ไก่ชน และขายอาหารที่บ้านเกิด ที่ตำบลท่าพญา
อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง และเป็นเทรนเนอร์มวยไทย
0 กว่าครั้ง โดยไม่เคยแพ้น็อคเลย พุฒ ล้อเหล็ก เกิดที่
อำเภอย่านตาขาว จังหวัดตรัง เมื่อ
พ.ศ. 2496พุฒ ล้อเหล็ก เริ่มชกมวยไทยเมื่ออายุ 15 ปี ชกชนะรวด 10 กว่านัด เมื่อ พ.ศ. 2511 ได้รับคำชื่นชมว่า เป็นนักมวยที่มีหมัดหนัก สไตล์การชกบนเวทีพลิ้วไหว ลีลาแม่ไม้มวยไทยงดงาม เคยติดอันดับ 1 ใน 10 ของการจัดอันดับยอดมวยไทยตลอดกาล ของเวทีมวยราชดำเนิน เมื่อ พ.ศ. 2527
ปัจจุบัน พุฒ ล้อเหล็ก สมรสกับนางฉลวย พิพัฒกุล เลิกชกมวยแล้ว หันไปทำ
สวนยางพารา เลี้ยง
ไก่ชน และขายอาหารที่บ้านเกิด ที่ตำบลท่าพญา
อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง และเป็นเทรนเนอร์มวยไทย

ชีวิต"พุฒ ล้อเหล็ก"วันนี้ จับทัพพีขายข้าวหมกหมู
พลิกชีวิตแชมป์มวยอัจฉริยะ "พุฒ ล้อเหล็ก" หลังสลัดกลิ่นสาปนวม ดอดทำสวนยาง ก่อนหันมาเปิดร้านขายข้าวกับลูกคนสุดท้อง ทำข้าว "หมกหมู" สูตรเด็ดขายอีกทาง พร้อมนำภาพชกมวยในอดีตติดเต็มร้านเรียกลูกค้าอื้อ เผยเตรียมเขียนหนังสือผลึกชีวิตบนสังเวียน หวังรักษาวิชาแม่ไม้มวยไทยไม่ให้สูญหาย หลังลูก-หลานเมินเข้าสู่วงการค้ากำปั้นอย่างสิ้นเชิง
น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก นักชกผู้ยิ่งยงนามกระเดื่องอย่างนายทวี พิพัฒกุล หรือ "พุฒ ล้อเหล็ก" เพราะในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นแชมป์นักชกมวยไทยที่มีสไตล์การชกบนสังเวียนแบบพลิ้วไหว เปี่ยมไปด้วยลีลาแม่ไม้มวยไทย แถมหมัดหนักจนหาตัวจับยากคนหนึ่ง
แต่พลันที่หันหลังให้วงการมวยไทยแล้ว ชื่อเสียงก็หายไปจากวงการจวบจนทุกวันนี้ ทีมข่าว "คม ชัด ลึก" เจาะชีวิตมาให้สัมผัสกันอีกครั้ง
ปัจจุบัน "พุฒ ล้อเหล็ก" มีอายุย่างเข้า 54 ปีแล้ว พบว่าหลังจากหันหลังให้วงการมวยไทยแล้ว ก็ไปทำงานเกี่ยวกับการเดินรถเอกชนอยู่หลายปี ควบคู่กับการทำสวนยางพารา ที่ อ.ปะเหลียน จ.ตรัง ซึ่งเป็นบ้านเกิด ทว่าวันนี้ กลับต้องมารับบทบาทใหม่ด้วยเปิดร้านขายอาหารประเภทข้าวขาหมู เกาเหลา และกาแฟที่บริเวณถนนหัวสะพานเก่า ในเขตเทศบาลตำบลย่านตาขาว อ.ย่านตาขาว จ.ตรัง
พุฒเล่าว่า หลังจากนายกิตติพันธ์ พิพัฒกุล ลูกชายคนเล็ก ที่เพิ่งเรียนจบด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว สาขาการจัดการภัตตาคาร แม้ก่อนหน้านี้เคยไปทำงานเกี่ยวกับอาหารที่ จ.ภูเก็ต มาแล้ว แต่เนื่องจากต้องการจะกลับมาอยู่บ้านจึงตัดสินใจเปิดร้านอาหารประกอบกับตนและภรรยาชอบเรื่องการทำอาหารอยู่แล้ว เพราะเคยขายเกาเหลาอยู่หลังตลาดสดอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะเลิกไป
พุฒบอกว่า หากให้ลูกชายเปิดร้านอาหารเพียงลำพัง คงจะมีคนรู้จักน้อย จึงต้องเข้าไปช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ที่สำคัญภายในร้าน ตนก็ยังนำภาพการชกมวยในอดีตมาติดไว้ด้วย ทำให้ลูกค้าที่เคยรู้จักเกิดความสนใจอย่างมาก
ไม่เพียงแต่ช่วยลูกชายเปิดร้านอาหารเท่านั้น แต่นักชกผู้ยิ่งใหญ่รายนี้ยังบอกว่า ตัวเองยังได้เปิดร้านขายข้าวหมกหมูที่บริเวณตลาดสดเทศบาลตำบลย่านตาขาว เพื่อขายอาหารสูตรเด็ดของทางร้านเพิ่มอีกด้วย โดยจะเริ่มขายหลังจากร้านที่บริเวณหัวสะพานเก่าเลิกแล้ว คือเวลาประมาณ 15.00 น. ปรากฏว่าเริ่มมีลูกค้ามาซื้อกันมากขึ้น เนื่องจากเป็นอาหารที่แปลกไปจาก "ข้าวหมกไก่" ทั่วๆ ไป แต่กว่าจะเป็น "ข้าวหมกหมู" ก็ต้องใช้เวลาลองผิดลองถูกอยู่นานพอสมควร โดยเฉพาะสูตรอาหาร
"ส่วนใหญ่ลูกชายจะเป็นคนเตรียมของที่ทำขายทั้งหมด ผมจะช่วยเพียงเล็กๆ น้อยๆ เช่น เด็ดยอดตำลึง หรือขนของ ส่วนเรื่องอื่นๆ ยอมรับว่าทำไม่เป็นเลย หน้าที่ผมส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการรับแขก หลังจากที่มีข่าวว่าผมมาเปิดร้านขายข้าวอยู่ที่นี่ ก็จะมีคนมาถามว่าร้านตั้งอยู่ที่ไหน และได้เข้ามาอุดหนุน บางคนถึงกับเดินทางจากต่างอำเภอ ส่วนภรรยาเป็นอาจารย์ หลังเลิกเรียนก็จะมาช่วยลูกขายข้าวในตอนเย็นด้วย"
ปัจจุบันอดีตสุดยอดมวยไทยรายนี้ นอกเหนือจากการช่วยลูกชายคนเล็กเปิดร้านขายข้าวแล้ว เวลาส่วนหนึ่งยังต้องเจียดไปทำสวนยาง อันเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการชกมวย
แม้ชีวิตทุกวันนี้จะไม่มีอะไรน่าห่วง เนื่องจากลูกๆ สำเร็จการศึกษาและมีงานทำหมดแล้ว แต่พุฒบอกว่ายังมีอีกสิ่งหนึ่งที่อยากทำคือ การเขียนหนังสือรวบรวมชีวิตบนสังเวียน พร้อมๆ กับเรื่องราวของแม่ไม้มวยไทยที่นับวันจะเลือนหายไปจากวงการ
"หลังจากเลิกชกมวย ผมก็หันหลังให้กับวงการทันที ไม่เคยเข้าไปยุ่งอีก เพราะเห็นว่าอาชีพนักมวยเป็นอาชีพที่เหนื่อยและหนักกว่าที่จะประสบความสำเร็จ แต่ก็เริ่มมีเด็กๆ รุ่นหลังเข้ามาทดแทน ทุกวันนี้มีความสุขอยู่กับการเลี้ยงไก่ชนและเลี้ยงปลากัด แต่ทำไปเพื่อความสนุกสนานกับเพื่อนบ้านเท่านั้น ไม่ได้เลี้ยงกันแบบเอาจริงเอาจังอะไร เท่านี้ก็ถือว่าชีวิตก็ประสบความสำเร็จมากแล้ว"
น่าสนใจว่า นอกเหนือจากหันหลังให้วงการนี้อย่างเบ็ดเสร็จแล้ว บรรดาลูกหลาน "พุฒ ล้อเหล็ก" ต่างก็ไม่มีใครสนใจในกีฬามวยไทยเลยแม้แต่รายเดียว กลับปล่อยให้ความยิ่งใหญ่และความอัจฉริยะบนสังเวียนผืนผ้าใบเป็นของพ่อแต่เพียงผู้เดียว
ทุกวันนี้จึงมีความหวังแต่เพียงหลานชายคนหนึ่งที่พอจะสืบทอดได้ โดยพุฒหวังว่า หลานชายที่เกิดกับลูกชายคนโต อาจจะเป็นความหวังที่สืบทอดตำราแม่ไม้มวยไทยได้ เพราะขณะนี้เริ่มมีความสนใจการชกมวยตั้งแต่อายุยังน้อย เชื่อว่าอาจจะสืบทอดลีลาการชกมวยของคุณปู่ในอนาคตได้